panutatblog

A great WordPress.com site

Archive for the tag “ความสุข”

เนื้อคู่ (อยู่) ประตูไหน

หลังจากที่เขียนเรื่องเครียดๆ ปนสาระ(มากบ้างน้อยบ้าง)มาหลายวัน วันนี้เลยว่าจะเขียนเล่าเรื่องเบาๆ สาระน้อยๆ ดูหน่อยเป็นไร

‘เนื้อคู่ (อยู่)ประตูไหน’ คุณคงเคยถามคำถามนี้กับตัวเองมาบ้าง อะๆ อย่าเถียง  ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ถามคำถามนี้กับตัวเองมานานมากแล้ว และจนวันนี้ตัวเองก็ยังไม่รู้คำตอบเลย (อ้าวแล้วจะมาเขียนบล็อคเรื่องนี้ทำไม คุณๆ คงนึกในใจ) ไม่รู้หล่ะนี่บล็อคผม ก็ผมอยากเขียนเรื่องนี้อะ ผมคงไม่ได้มาเขียนให้คุณอ่านเพื่อเอาคำตอบ  หรือมาตอบคำถามใดๆ แต่ผมอยากจะมาแบ่งบันความคิด เรื่องราว กับประสบการณ์ต่างๆ ทั้งที่ผมได้เจอมากับตัวเอง  และที่เคยได้ฟังๆ อ่านๆ มา มาเล่าสู่กันฟัง  คุณจะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรก็สุดแล้วแต่

โดยส่วนตัวผมเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง  ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาก็พอสมควร  ปัจจุบันยังโสด และผมก็ยังภูมิใจในความเป็นโสดของผมอยู่จนทุกวันนี้  ในหมู่เพื่อนฝูงรุ่นๆ เดียวกันกับผม ส่วนใหญ่ก็จะแต่งงานมีครอบครัวกันแล้ว  บ้างก็มีลูก 1 บ้าง ลูก 2 บ้าง  บางคนก็กำลังจะแต่งรอบ 2 แล้วก็ยังมี ผมชื่นชมและขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จ กับทุกๆ คนที่ค้นพบและเจอเนื้อคู่ของตัวเอง ความจริงการได้เจอเนื้อคู่  กับการแต่งงานนั้นมันอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน  งงมั้ยครับ  ความเห็นของผม  การเจอเนื้อคู่ ไม่จำเป็นจะต้องจบลงด้วยการแต่งงานกันเสมอไป หรือแม้คู่ที่แต่งงานกันบางคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าได้แต่งกันเพราะเค้าเป็นเนื้อคู่กัน แต่อาจจะแต่งกันเพราะมีความจำเป็นอย่างอื่น  หรืออาจเป็นคู่กรรม  เคยทำกรรมร่วมกันมาแต่ชาติบางก่อน  (ที่มาของคำว่าคู่กรรม นั่นเอง)

สมัยผมยังเป็นวัยรุ่น (ซึ่งก็เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง :P) ผมมักจะถูกจัด(แกมยัดเยียด)ให้อยู่ในกลุ่มหนุ่มเจ้าสำราญ (ก็เจ้าชู้นั่นแหละ เขียนให้มันดูดีไปอย่างนั้นเอง) ด้วยความที่หน้าตาผมก็พอไปวัดตอนกลางวันได้  ไม่พิกลพิการ  ฐานะทางบ้านพอมีพอกิน  ทำให้ผมไม่เคยมีปัญหาในการเข้าสังคม และใช้ชีวิตแบบสุดสุด  เรียกได้ว่าผมลองมาแล้วเกือบทุกอย่าง สุรา นารี  ปาร์ตี้  ยกเว้นแค่อย่างเดียวคือ เสพยา (ไว้จะเล่าให้ฟังคราวต่อๆ ไปว่าวีรกรรมของผมมีอะไรบ้าง)  แต่เห็นผมใช้ชีวิตแบบนี้  ผมก็ไม่เคยทำให้เสียการเรียน หรือสร้างปัญหาปวดหัวให้พ่อแม่เลยซักครั้ง (อันนี้ผมคิดเอาเองนะ จริงๆ ท่านคงจะปวดหัวเพราะผมอยู่หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน) ระหว่างการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น ผมเองก็เฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่กันนะ ผมจะเจอเนื้อคู่กับเค้าซักที  ผมมักจะคิดเสมอว่าหากผมเจอเนื้อคู่ผมแล้วหล่ะก็  ผมคงจะหยุดใช้ชีวิตแบบนี้ และมาทำตัวเป็นคนดีกับเค้าบ้าง  ทุกครั้งที่ผมได้เจอกับผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ผมมักจะทึกทักเอาเองเสมอว่าเค้าต้องเป็นคนที่ใช่สำหรับเราแน่ๆ นี่แหละเนื้อคู่เรา แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เจอคนที่เกิดมาคู่กันจริงๆ ซักที ยิ่งไล่ตาม ยิ่งค้น ก็จะยิ่งผิดหวัง  ยิ่งเรียกร้องหาความรัก  ความรักก็จะยิ่งวิ่งหนี  (หรือบางทีผมก็ทำตัวแย่จนทำให้ความรักวิ่งหนีไปเองแหละ เห้อ…) เรียกว่าเป็นคนขี้เหงา ภาพพจน์ของผมในหมู่เพื่อนๆ จึงดูเป็นคนที่ไร้หัวใจ  เป็นเพลย์บอย  เป็นคนเจ้าชู้  (พูดง่ายๆ ว่าเลว นั่นแหละ) แต่ในความจริงในใจของผมนั้นคิดแต่เพียงว่า  ถ้ามันไม่ใช่จะทนอยู่กันไปทำไม เสียเวลาเปล่า  ยอมเจ็บแต่จบตอนนี้  ยังดีกว่าทนอยู่แบบ ชาๆ แสบๆ กันไป  เหมือนเป็นแผลที่กลัดหนอง  จะหายก็ไม่หาย  จะเน่าก็ไม่เน่า ต้องเลิกลากันไปในที่สุด  เพื่อนบางคนคิดว่าผมคงชินชากับการบอกเลิกคนอื่น  และเข้าใจว่าคนบอกเลิกจะเจ็บน้อยกว่า  อันนี้ผมว่าไม่จริงเสมอไป คนที่เจ็บน้อยกว่าคือคนที่หมดรักก่อนต่างหาก (จริงที่ บางครั้งผมก็เป็นฝ่ายหมดรักก่อน เลยดูเหมือนจะไม่เจ็บ) แต่ไม่ว่าเราจะเป็นคนบอก  หรือเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกมันก็เศร้าทั้งนั้นแหละ การต้องบอกเลิกทั้งๆ ที่รัก มันทรมานกว่าถูกบอกเลิกซะอีก  อันนี้ผมขอยืนยัน เพราะผมผ่านมาแล้วทุกสถานการณ์ และหลังจากการเลิกลากัน ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงซึมเศร้า  ตอนกินไม่ได้นอน  ตอนนอนไม่ได้กิน จะเป็นช่วงที่คิดถึงเพื่อนขึ้นมาทันที  (ตอนมีแฟน  ไม่เคยเห็นหัวเพื่อน) อินกับเพลงเศร้าทุกเพลง  หนังเกาหลี  หนังฝรั่ง ประเภทอกหัก ช้ำรัก รักคุด ตุ๊ดเมินต้องขนออกมาดู  กินเหล้าแทนน้ำ  (*มีกวีเคยกล่าวไว้  ‘เหล้าไม่ใช่น้ำใบบัวบก  กินให้ตายมันก็ไม่หายช้ำ’ ถูก แต่กูกินให้หายเซ็งเว้ย ไม่ได้กินให้หายช้ำ) แล้วเวลาผ่านไปชีวิตผมก็จะวนเข้าสู่วัฏจักรแบบนี้รอบแล้วรอบเล่า (และรอบเหล้า) เป็นอย่างนี้อยู่หลายยยยยยปี

จนวันหนึ่ง  โดยไม่ได้มีใครมาดลใจ หรือมีอรหันต์องค์ใดมาโปรด  หรือได้เจอนางในฝันใดๆ ทั้งสิ้น  วันหนึ่งจริงๆ  ผมก็พบทางสว่าง  ผมเหมือนตื่นจากความฝัน  และพบว่าการที่เราจะมีความสุขนั้น  เราไม่จำเป็นจะต้องไปวิ่งหาใครมาทำให้เรามีความสุข  แต่เรานั่นแหละที่ควรจะเป็นคนที่สร้างความสุขขึ้นมาจากภายในจิตใจของเราเอง  เราต้องสุขกับตัวเองให้ได้ซะก่อน  แล้วความสุขที่เรามีก็จะส่งกลิ่นหอมออกไปเชื้อเชิญ ให้ใครๆ ที่กำลังตามหาความสุข เดินทางเข้ามาหาเราเอง  โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งไล่ตามอีก  และถึงตอนนี้  ไม่ว่าจะมีใครอยู่ข้างคุณหรือไม่  นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ถ้ามีมันคือกำไร  ถ้าไม่มีเราก็ยังกำไร  เพราะเราสร้างสุขได้เอง  โดยไม่ต้องเรียกร้องหาความสุขจากใครอีกต่อไป  อย่าถามผมนะว่าทำอย่างไรถึงเจอวันนี้  ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  เหมือนคนมันหมดกรรมมั้ง  อยู่ดีๆ ใจมันก็ใสขึ้นมาซะเฉยๆ  ถามว่าตอนนี้ผมเป็นเป็นคนดีมากขึ้นแล้วหรือยัง  ผมคงตอบว่าไม่หรอก  ผมยังเป็นคนธรรมดาๆ ในแบบของผม  เพียงแต่ผมมีความสุขมากขึ้น  โดยไม่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน  ก็แค่นั้น

สรุปตอนนี้ไม่ได้มีข้อคิด หรือเคล็ดลับใดๆ มาฝาก แค่อยากเล่าสู่กันฟัง  ทุกวันนี้ไม่ว่าเนื้อคู่ผมจะอยู่ประตูไหน  มันก็ไม่สำคัญกับผมอีกต่อไป  คำว่าเนื้อคู่ของผมในตอนนี้ มีความหมายมากกว่าแค่คู่รักแบบหนุ่ม-สาว  แต่มันจะหมายถึง ใครก็ได้ที่เกิดมามีชีวิตเกี่ยวข้องกับเรา อยู่รอบๆ ตัวเรา  มีปฏิสัมพันธ์กับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  คือพูดง่ายๆ ว่าทำบุญมาร่วมกันแต่กาลก่อน เช่นการที่เราเกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่เรา แสดงว่าเราคงเคยได้ทำบุญร่วมกันท่านมา  หรือการที่เราได้เจอเพื่อนที่ดี ที่คบกันแล้วส่งเสริมเราไปในทางที่ดี  ก็แปลว่าเราได้เคยทำบุญร่วมกันมากับเพื่อนคนนี้ หรือกลุ่มนี้   รวมไปถึงคู่รัก  คู่แต่งงาน หรือคู่ชีวิตที่ไม่ได้แต่งงาน  ก็คือคู่บุญเราเช่นเดียวกัน  หากเราทำทุกวันของเราให้มีความสุข  และพร้อมที่จะมอบความสุขนั้นให้กับเนื้อคู่ทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวเรา แบบในหนังเรื่อง pay it forward ได้แล้วหล่ะก็ ความสุขเหล่านั้นก็จะวนกลับมาหาเราเองและอาจจะมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวด้วยซ้ำ

ขอให้สร้างสุขในใจและสมหวังกันทุกคนนะคร้าบบบ

Post Navigation